วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ดร.เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและ
อุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) โดยร่วมกับสภาองค์การนายจ้างอีก 16 สภาองค์การนายจ้าง ได้ลงนามในหนังสือคัดค้าน
1. ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับ..) พ.ศ…สำเนาเลขรับ 157/2567 วันที่ 18 ธันวาคม 2567 (โดย นายจรัส คุ้มไข่น้ำ)
2. ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับ..) พ.ศ…สำเนาเลขรับ 158/2567 วันที่ 18 ธันวาคม 2567 (โดยน.ส.วรรณวิภา ไม้สน)
3. ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่. ) พ.ศ.. เสนอโดย นายเซีย จำปาทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กับคณะ
4. ข้อเสนอแนะและสรุปประเด็นปัญหาในข้อกฎหมายที่กระทบต่อสถานประกอบการ/นายจ้าง
ตามที่ ดร.เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ประธานสภาองค์การนายจ้างฯ และคณะสภาองค์การนายจ้างอีก 16 สภาร่วมลงนาม แสดงความเห็นต่อท้าย ซึ่งได้สรุปสาระสำคัญที่เป็นเหตุผลการคัดค้าน ขอเสนอแนะ และสรุปประเด็นปัญหาในข้อกฎหมายที่กระทบ ต่อสถานประกอบกิจการเพื่อให้ท่านได้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่ข้าพเจ้าและคณะสภาองค์การนายจ้าง ได้นำเสนอมานี้
ฉบับที่ 1 (ร่าง) ฉบับที่มีเลขรับ 157/2567 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เสนอโดย นายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส.พรรคประชาชนและคณะ
หลักการที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ดังต่อไปนี้
แก้ไขเพิ่มเติมระยะเวลาทำงานของลูกจ้าง (แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23) จากเดิมทำงาน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ลดลงเป็น 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
แก้ไขเพิ่มเติมวันหยุดประจำสัปดาห์ของลูกจ้าง (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 28) เพิ่มวันหยุดประจำสัปดาห์ 1 วันเป็น 2 วัน
แก้ไขเพิ่มเติมสิทธิการลาพักผ่อนประจำปีของลูกจ้าง (แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 30)
ฉบับที่ 1 ร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ.…. ของ นายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส.พรรคประชาชน และคณะ
เหตุผลที่คัดค้าน ดังนี้
สืบเนื่องจากการแก้ไขเพิ่มในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งมีสาระสำคัญในภาคบังคับใช้ ปัจจุบันนั้น
เหมาะสมแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไข หากผลของการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับใช้ เป็นเหตุให้เกิดภาระ
และปัญหาการจ้างงานในหลายประการดังต่อไปนี้
- ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทำให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น กระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
- มีผลกระทบโดยตรงกับผู้ประกอบกิจการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมประเภท วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป็นส่วนมากของประเทศ อาจต้องปิดตัวลง - ก่อให้เกิดการขาดสภาพคล่องในการลงทุนภายในประเทศ และจากการลงทุนของผู้ประกอบการต่างประเทศด้วย
- อาจเป็นปัญหาให้เกิดผลกระทบย้อนกลับไปถึงการจ้างงานของลูกจ้างในอนาคต ซึ่งผู้ประกอบกิจการจะต้องแสวงหา
รูปแบบการจ้างงานรูปแบบใหม่ที่เหมาะสมกว่าต่อไป เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้ เช่นการนำ AI หรือนำหุ่นยนต์
มาใช้แทนการจ้างงาน
ฉบับที่ 2 (ร่าง) ฉบับที่มีเลขรับ 158/2567 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เสนอโดยนางสาววรรณวิภา ไม้สน สส. พรรคประชาชน
หลักการที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ดังต่อไปนี้
แก้ไขเพิ่มเติมในการจ้างงานที่มีความเท่าเทียมในทุกด้านให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างเท่าเทียมด้วย โดยไม่เลือกปฏิบัติ
(แก้ไขเพิ่มเติม ในมาตรา 15)
แก้ไขเพิ่มเติมให้การลาเนื่องจากมีประจำเดือน มิให้ถือว่าเป็นวันลาป่วย (เดิมมีสิทธิอยู่แล้ว 30 วันต่อปี)
(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 32/3)
- กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลาไปดูแลบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลอื่นใดที่มีความใกล้ชิด (เพิ่มมาตรา32/1)
- กำหนดให้ต้องจัดให้มีสถานที่ที่เหมาะสมและอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น เพื่อให้ลูกจ้างสามารถให้นมบุตรหรือ
บีบน้ำนมในที่ทำงาน (เพิ่มมาตรา 39/2)
กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีสิทธิลาเนื่องจากมีประจำเดือน (เพิ่มมาตรา 40/1)
-2-
ฉบับที่ 2 (ร่าง) ฉบับที่มีเลขรับ 158/2567 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เสนอโดยนางสาววรรณวิภา ไม้สน สส. พรรคประชาชน
เหตุผลที่คัดค้าน มีดังนี้
การลาเนื่องจากมีประจำเดือน (3 วันต่อเดือน)
สภาองค์การนายจ้างเห็นว่าเป็นการออกกฎหมายฉบับนี้เกินความจำเป็น
การบัญญัติสิทธิลาพิเศษที่สำคัญสำหรับสตรีอาจจะถือเป็นการเลือกปฏิบัติภายใต้อนุสัญญาฉบับที่ 111 โดยถือเป็นเอกสิทธิ์ที่เกินกว่ามาตรการพิเศษเพื่อการคุ้มครองหรือความช่วยเหลือที่อนุสัญญา อนุญาตกำหนดไว้และยังอาจถือว่าไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ 100 เนื่องจากส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมความเสมอภาคและเป็นธรรมระหว่างลูกจ้างชายและหญิง ดังนั้นควรให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามกฎหมาย ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ต่อไป
2) ในส่วนการให้ลูกจ้างมีสิทธิลาไปดูแลบุคคลในครอบครัว หรือบุคคลอื่นใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด (ปีละไม่เกิน 15 วันทำงาน)
สภาองค์การนายจ้างฯ เห็นว่าควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็นใครบ้าง เพราะบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลอื่นใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เป็นถ้อยคำที่กว้างเกินไปทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้ ถ้อยคำที่สมควรใช้ต้องชัดเจนและแน่นอน เช่น บิดา มารดา บุตร สามี หรือภริยา เช่นเดียวกับถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 193 ซึ่งกำหนดลักษณะของบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
3) การให้นายจ้างจัดพื้นที่ให้นมบุตรหรือบีบเก็บน้ำนม
สภาองค์การนายจ้างเห็นว่าปัจจุบันผู้ประกอบการได้เข้าร่วมโครงการจัดตั้งมุมนมแม่ ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นจำนวนมาก ดังนั้นควรส่งเสริมความร่วมมือมากกว่าการออกกฎหมายบังคับและการออกกฎหมายเกินความจำเป็น โดยเฉพาะผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในกลุ่มแรงงาน ภาคเกษตร ภาคบริการ ร้านค้าปลีกและค้าส่ง ไม่สามารถปฏิบัติได้ เป็นต้น
ฉบับที่ 3 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ …) พ.ศ.. เสนอโดย นายเซีย จำปาทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กับคณะ
เหตุผลที่คัดค้าน มีดังนี้
สาระสำคัญของร่างฯในข้อที่ 2
เกี่ยวกับการกําหนดให้ยกเลิกบทนิยามคําว่า “นายจ้าง” “วันลา” เพื่อขยายขอบเขตของบทนิยามให้มีความครอบคลุมมากขึ้น โดย “นายจ้าง” ให้หมายความครอบคลุมถึงการจ้างงานด้วยสัญญาต่างๆ
ในข้อ 2 สภาองค์การนายจ้างไม่เห็นด้วยสืบเนื่องจาก กฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีการบังคับใช้
ซึ่งมีความเหมาะสมอยู่แล้ว
สาระสำคัญของร่างฯ ในข้อ 3 กําหนดให้เพิ่มบทนิยามคําว่า “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะ เป็นงานประจําและเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน
ในข้อ 3 สภาองค์การนายจ้างฯไม่เห็นด้วยเนื่องจาก การจ้างแรงงานในสภาพการทำงานที่เป็นจริง ปัจจุบันนี้
สมควรให้นายจ้างและลูกจ้างตกลงจ่ายค่าตอบแทนตามความเหมาะสมกันเอง
สาระสำคัญของ ร่างฯ ในข้อ 4 กําหนดให้การจ้างงานในสถานประกอบการ ให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนทั้งหมดโดยไม่เลือกปฏิบัติ
ในข้อ 4 สภาองค์การนายจ้างฯไม่เห็นด้วยในกรณีที่จะมาปรับ จากการจ้างงานรายวัน มาเป็นรายเดือน
ทั้งหมดไม่เห็นด้วยเพราะสาเหตุจาก สภาพของงานแตกต่างกัน เห็นควรให้เป็นทางเลือกของนายจ้างและ
ลูกจ้างตามสภาพงานที่เหมาะสม
และเห็นว่าการกำหนดให้เพิ่ม บทนิยามคำว่า “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะเป็นงานประจำ และเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในการทำสัญญาจ้าง เพียงแบบเดียว
-3-
สาระสำคัญของร่างฯ ในช้อ 5 กําหนดให้คณะกรรมการค่าจ้างต้องปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มทุกปี
ในข้อที่ 5 สภาองค์การนายจ้างฯไม่เห็นด้วย ในเรื่องการกำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้างต้องปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มทุกปี ไม่เห็นด้วยเพราะเนื่องจากเห็นว่าการปรับอัตราจ้างขั้นต่ำย่อมขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สะท้อนให้เห็นถึง ความสามารถในการจ่ายของนายจ้างและค่าครองชีพของลูกจ้างตามที่บัญญัติไว้แล้วในกฎหมายปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญกับคณะกรรมการค่าจ้างฯ คณะกรรมการไตรภาคีจังหวัด และหลักเกณฑ์ที่บังคับในมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เหมาะสมอยู่แล้ว
สาระสำคัญของร่างในข้อ 6 กําหนดให้เพิ่มบทกําหนดโทษในกรณีที่นายจ้างทําสัญญาในลักษณะอื่นใดกับลูกจ้างโดยมีเจตนาเพื่ออําพรางสัญญาจ้างแรงงาน (ร่างมาตรา 11)
ในข้อที่ 6 สภาองค์การนายจ้างฯ ไม่เห็นด้วยที่มีการกำหนดโทษทางอาญา
ข้อเสนอแนะ
ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ ไม่เหมาะสมในหลายด้าน ซึ่งการลงทุนในประเภทกิจการค้าและอุตสาหกรรม ที่ต้องมีภาระ
เพิ่มขึ้นทำให้การค้าในประเทศเข้าสู่การแข่งขันได้ยากขึ้นในรูปแบบของกฎหมาย ทำให้การค้าในประเทศเข้าสู่การ
แข่งขันได้ยาก
สมควรให้ใช้มาตรการยืดหยุ่นในการเพิ่มคุณภาพชีวิตในการจ้างแรงงาน โดยให้นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันเอง
ตามความเหมาะสมของสภาพในการทำงานของแต่ละองค์กร จะได้มีการเสริมสร้างสันติสุขในการทำงานได้ดีกว่า
หลักการทำประชาพิจารณ์ขาดความโปร่งใสและไม่ทั่วถึง สามารถอ้างอิงได้ว่า ทางฝ่ายผู้ประกอบกิจการไม่มีส่วนร่วม
ที่เหมาะสมในการแสดงความคิดเห็นในการจัด ร่าง “แก้ไขเพิ่มเติม” พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ในครั้งนี้
โดยหลักการปกติแล้ว จะมีผู้แทนจากสภาองค์การนายจ้าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าและคณะ
ต้องเป็นผู้รับภาระทางกฏหมายที่มีผลใช้บังคับในครั้งนี้
เหตุผลที่เป็นสาระสำคัญ ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ฉบับที่ใช้ปัจจุบันนี้ ได้มีการปรับปรุงแก้ไข
มาแล้วหลายครั้ง จึงเป็นกฎหมายแรงงานที่ใช้บังคับได้เหมาะสมอยู่แล้ว และสอดคล้องกับบทบัญญัติขององค์
การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) อีกด้วย
ทั้งนี้ สภาองค์การนายจ้างได้ร่วมกันลงนามคัดค้านและยื่นหนังสือถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย
สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย (สภา 1)
สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (สภา2)
สภาองค์การนายจ้างสภาอุตสาหกรรมเอ็สเอ็มอี แห่งประเทศไทย (สภา3)
สภาองค์การนายจ้างผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภค (สภา4)
สภาองค์การนายจ้างแห่งชาติ (สภา 5)
สภาองค์การนายจ้างธุรกิจไทย (สภา 6)
สภาองค์การนายจ้างไทยสากล (สภา 7)
สภาองค์การนายจ้างการเกษตร ธุรกิจ อุตสาหกรรมไทย (สภา 8)
สภาองค์การนายจ้างธุรกิจ การค้าและบริการไทย (สภา 9)
สภาองค์การนายจ้างไทย (สภา 11)
สภาองค์การนายจ้าง ธุรกิจ และอุตสาหกรรมแห่งชาติ (สภา12)
สภาองค์การนายจ้างธุรกิจอุตสาหการไทย (สภา13)
สภาองค์การนายจ้าง เอส.เอ็ม.อี แห่งประเทศไทย (สภา 14)
สภาองค์การนายจ้างบริการไทย (สภา 15)
สภาองค์การนายจ้างธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว-ภาค 8 (สภา 16)
สภาองค์การนายจ้างเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (สภา 17)
สภาองค์การนายจ้างเพื่อการลงทุนแห่งประเทศไทย (สภา 18)










